Featured Image

ทำไม "พระภูมิ" ต้องอยู่ศาล...ไม่อยู่บ้าน

คุณผู้อ่านเคยสงสัยบ้างหรือเปล่าว่า ทำไมพระภูมิ ที่บอกว่าเป็นเจ้าของแผ่นดินนั้น จึงต้องระเห็จมาอยู่บนศาล แทนที่จะเป็นบ้าน หรือวัง ที่โอ่อ่าตามฐานะของตน ในมื่อเป็นถึงเจ้ากรุง เจ้าเมือง สงสัยมั้ย ?

จากคำถามที่ว่า ทำไม "พระภูมิ" ต้องอยู่ศาล...ไม่อยู่บ้าน แล้วที่เรากราบไหว้นั้น... ทำไมเราไม่เรียกว่า บ้านพระภูมิเจ้าที่แต่กลับเรียกว่าศาล ? คำถามยังมีอีกมากมายที่ผู้เขียนยกมากล่าวในที่นี้ได้ไม่หมด.. และเชื่อว่าคุณผู้อ่านเองก็มีคำถามของตัวเองเอาไว้แล้วแต่ละท่าน ตั้งคำถามและคำบอกเล่าที่เห็นตำนานและคัมภีร์พรหมจุติ ก็ได้กล่าวถึงสาเหตุที่พระภูมิอยู่ศาลเอาไว้ว่า

เมื่อท้าวทศราชแห่งกรุงพาลีได้ส่งโอรสทั้ง 9 องค์ ออกไปปกครองแผ่นดินตามสถานที่ต่าง ๆดังแต่พระองค์ถนัดแล้ว ตัวของท้าวทศราชเจ้ากรุงพาลีเองก็ให้สบายอกสบายใจอิ่มเอมเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากไม่ต้องทำอะไรต่อมิอะไรมากมายดังเมื่อก่อนมา ให้รู้สึกเมื่อยอกเมื่อใจอีกแล้ว นอกจากการแสดงออกถึงการมีอำนาจที่มีมากขึ้นกว่าเดิม เพราะได้บารมีของพระโอรสทั้ง 9 องค์ มาช่วยเสริมให้กล้าแกร่ง และแผ่กระจายวงกว้างยิ่งขึ้น

จากนั้น ท้าวทศราชก็เริ่มแสดงถึงอำนาจที่ตนให้รุกคืบออกไปทุกทิศทุกทางตามแต่ตนต้องการโดยบางอย่างก็ต้องอาศัยแรงจากความพระปรีชาสามารถของโอรส อย่างเช่นเมื่อพระองค์ต้องการสิ่งใดในเขตของโอรสองค์ใด ท้าวทศราชก็จะต้องให้โอรสองค์ที่ปกตรองอยู่ที่นั้นเป็นผู้ออกคำสั่งอีกต่อหนุ่งโดยให้ชาวบ้านเมืองในแถบพื้นที่นั้นนำข้าวของและท้าวทศราชการมาถวายกับพระภูมิ (พระโอรส) แล้วพระภูมิเองก็จะนำขึ้นถวายพระบิดาอีกคราหนุ่ง บอกอย่างนี้บางท่านอาจจะนึกภาพไม่ค่อยจะออก ลักษณะที่ท้าวทศราชดึงอำนาจเข้าสู่ตนเองแม้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คือ...

เมื่อเจ้ากรุงพาลีอยากเสวยปลาก็ต้องออกคำสั่งไปที่ พระธาตุธารา(บางตำราจะเขียนว่า ธาษ) ผู้ปกครองแถบคลอง หนองบึง ให้รับคำสั่งไปสั่งต่ออีกทอดหนึ่งกับประชาชนที่พรธาราปกครองอยู่เพื่อทำตามความต้องการของผู้เป็นบิดา และจะเป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยมา ตลอดทั้งโอรส 9 องค์

แม้ว่าบางครั้งโอรสจะไม่เห็นด้วยกับความคิดของพระบิดาก็ตามแต่ก็ต้องจำใจทำลงไป ด้วยสายสัมพันธ์ฉันพ่อลูก แม้จะทราบดีว่าบางคราวก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง... ทำให้ผู้คนภายใต้การปกครองของพระองค์ต้องเดือนร้อน เพราะการกระทำกรรมเบียดเบียนริษยาของเจ้ากรุงพาลี

ไม่เพียงแต่แสดงอวดอ้างและวางอำนาจเท่านั้น เจ้ากรุงพาลียัง มุสาวาทแก่นรชนทั้งหลายตลอดมา ไม่มีความแน่นอนใจคำดำรัสและดำริเลยสักครั้ง(แหม...ฟังดูแล้วก็ช่างเหมือนผู้นำยุคเงินบาทลอยตัวเสียจริง ๆ สงสัยใครที่ขึ้นมาเป็ฯผู้นำเขาคงจะสืบทอนกันเน๊าะ คุณผู้อ่าน)

สำหรับท้าวทศราชเจ้ากรุงพาลีแล้ว เล่นหนักกว่าผู้นำบ้านเราเอีก เพราะเล่นกับใครไม่เล่น ดันไปโกหกกับประชาชนทุกสารทิศว่า

พระพุทธเจ้าจะให้พรแก่พระองค์แล้วก็มิได้ให้ดั่งคำที่บอก ซึ่งจากคำพูดเช่นนั้นก็ส่อให้เห็นแล้วว่า นิสัยของเจ้ากรุงพาลีเป็นเช่นไร และความตั้งใจจริงก็คือ ต้องการจะให้ชาวบ้าน-ชาวเมือง ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ให้เกิดอาการระส่ำระสาย เกิดความไม่เชื่อถือ เพื่อหันกลับมานับถือตนแทนนั่นเอง

การพูดจากของเจ้ากรุงพาลีไม่ใช่บางครั้งบางคราว หรือจบสิ้นลงเท่านี้ เพราะทุกครั้งที่ทำการแผ่อำนาจอันไม่ถูกต้องของตนเองไป ท้าวทศราชจะพูดกล่าวหาว่าร้ายให้กับองค์พระพุทธเจ้าอยู่เนือง ๆ จนแผ่ขยายวงกว้างออกไปอย่างทั่วถึง

เมื่อพระพุทธเจ้าทงราบเรื่องว่า ท้าวทศราชแห่งกรุงพาลี เต็มไปด้วยการเบียดเบียน และมีความอิจฉาริษยาอยู่ในกมลสันดาน พระพุทธองค์จึงได้เสด็จ เยือนกรุงพาลี และทรงเข้าพบท้าวทศราช แล้วพระพุทธองค์ได้ทรงขอพื้นที่ (พื้นดิน) จากท้าวทศราชเพียงสามก้าวของพระองค์เท่านั้นเพื่อเป็นที่พักอาศัย

ส่วนทางด้านท้าวทศราชก็ให้นึกกระหยิ่มในใจ ลิงโลดเป็นล้นพ้นที่คนอย่างตนมีอำนาจมากกว่าพระพุทธเจ้า โดยเข้าใจว่าตนเองนั้นเป็นต่อ ที่พระพุทธเจ้าทรงเกรงกลัวต่ออำนาจ ของตน "กลัว" ถึงขนาดที่ไม่มีที่อยู่อาศัย จนต้องรีบบากหน้ามาขอที่เอาไว้เพื่อเป็นที่อยู่ที่พัก

ดังนั้น ท้าวทศราชแห่งกรุงพาลีจึงพินิจคำขอของพระพุทธองค์ แล้วลงความเห็นว่าเป็นเนื้อที่น้อยนิดแค่เพียงสามก้าวเท่านั้น ไม่ได้มากมายนักและด้วยความที่หลงใหลในอำนาจว่ามีคนมาขอพึ่งบุญ และคิดไปว่าเมื่อให้ที่อยู่พระพุทธองค์แล้ว ชาวประชาและเทพยดาทั้งหลายที่เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์ จะได้เห็นว่าตนมีซึ่งอำนาจมากกว่าพระพุทธเจ้าถึงขนาดต้องเป็นเจ้าแผ่นดินแก่พระพุทธเจ้าไปด้วย หากว่าตนให้ที่อยู่แก่พระพุทธองค์ตามคำขอ ท้าวกรุงพาลีจึงได้ตอบตกลงยกที่ดินสามก้าวให้ตามที่พระพุทธองค์ทรงขอด้วยยิ้มภาคภูมิใจ

เมื่อพระพุทธองค์ทรงได้รับคำตอบแล้ว พระองค์ก็ทรงประกาศแก่เทพยดาให้เห็นเป็นพยานว่าท้าวทศราชท้าวกรุงพาลีได้ยกเนื้อที่ให้แก่พระองค์แล้ว 3 ก้าว ต่อจากนั้นพระองค์ก้าวเดินไปด้วยพระพุทธาภินิหารของพระองค์ เมื่อทรงย่างเหยีบเพียงแค่ 2 ก้าวก็ถึงซึ่งขอบเขตจักรวาลแล้ว

เมื่อเหตุการณ์แปรเปลี่ยนไปดังนั้น เล่นเอาเจ้ากรุงพาลีและพระภูมิเจ้าที่(โอรส) ถึงกับตกใจสุดขีด ลมแทบจับเลยทีเดียว เพราะหากว่าเป็ฯเช่นนี้พระองค์และพระโอรสทั้ง 9 พระองค์ ก็ต้องกลับเป็นฝ่ายที่ไร้ซึ่งที่จะอยู่ หมดซึ่งอำนาจต่าง ๆ ที่มีมา ประชาชนทั้งหลายก็ต้องตกอยู่ภายใต้การดูแลของพระพุทธเจ้าทันที เมื่อสิ้นสุดการก้าวย่างของพระพุทธองค์

นับแต่บัดนั้น ท้าวทศราชและโอรสทั้ง 9 จึงจำต้องออกไปอยู่นอกเขตจักรวาล ไม่มีตนมาเอาเอกเอาใจอย่างที่เคยเป็นมา จึงเกิดการอดอยากในเครื่องสังเวย ดังนั้นท้าวทศราชจึงได้ใช้ให้โอรสทั้ง 9 องค์ที่เป็นพระภูมิเจ้าที่ให้มากราบทูลพระพุทธเข้า เพื่อทูลขอเครื่องบัตรพลี (เครื่องสังเวย) และขอที่ดินคืน อย่างน้อยก็พอได้เป็นที่อยู่อาศัยบ้าง

ครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าทรงรับทราบถึงเรื่องที่พระภูมเจ้าที่ทูล...พระองค์ก็ทรงมีพุทธานุญาต ให้ทราบโดยทั่วกันทั้งประชาชนและเทพยดาทั้งหลายว่า...

ต่อไปนี้ ถ้าใครผู้ใด จะสร้างบ้านเรือนหรือก่อพระเจดีย์ ปลูกพระศรีมหาโพธิ์ ทำพระวิหาร ทำสถานนี้ปลูกศาลา ปั้นพระพุทธรูบวชพระภิกษุ หรือการมงคลใด ๆ ก็ให้จัดตั้งพระภูมิเอาไว้ แล้วบอกกล่าวทุกครั้งไป เพื่อพระภูมิจะได้เป็นผู้มาดูแลเป็นหูเป็นตาแทน

นับแต่นั้นมา ศาล ของพระภูมิ หรือบ้านพระภูมิ เป็นดังที่ปรากฎให้เราได้เห็นกันอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ ศษลพระภูมิคือบ้านที่พระภูมิอยู่นั่นแหล่ะ แต่ที่เราต้องเรียก "ศาล" นั้นก็คงจะมาจากลักษณะที่ตัวบ้านที่เราเห็นกัน รวมถึงขนาดของบ้านซึ่งสมัยก่อนนั้นถ้าเป็นบ้านหรือศษลของเจ้ากรุงพาลีก็๗มีขนาดใหญ่พอสมควรโดยมีขนาดใหญ่กว่าของโอรส มีเสา 4 เสาถ้าเป็นในต่างจังหวัดจะมีประจำหมู่บ้านที่เรียกว่า "ศาลปู่ตา" ภาคอีสานจะกลับคำกันกับ ภาคกลางที่เรียกว่า ศาลตาปู่ ซึ่งตามที่ผู้รู้บอกนั้น ศษลที่มีขนาดใหญ่นี้จะมีศักดิ์เป็นหัวหน้าศษลอื่น ๆ ที่แยกย่อยออกไปทั้งหมด(ศาลย่อยที่ว่านี้ก็คือ ศาลที่พระโอรสทั้ง 9 สิงสถิตอยู่) เพราะศาลขนาดใหญ่จะมีสี่เสาขึ้นไป(ปัจจุบันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และโอ่อ่าขึ้นตามสภาวะ) แต่ศาลขนาดเล็กจะมีเพียงเสาเดียวซึ่งต่างจังหวัดในปัจจุบันนี้ยังคงพอมีหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง โดยเฉพาะทางภาคอีสาน ที่นิยมทำศาลเพียงตา หรือบางทีเรียกว่าศาลชั่วคราว นอกนั้นก็จะเป็นทางภาคเหนื้อ ส่วนศาลที่อยู่ในแถบภาคกลางบอกได้เลยว่าแทบจะไม่มีลักษณะศาลอย่างดั้งเดิมเหลือเอาไว้เลย

ตั้งศาล... ก็ได้เปลี่ยนไปตามวิวัฒนาการของความเจริญทางด้านเทคโนโลยีไปแล้ว สมัยนี้ศาลพระภูมิจะต้องเป็นปูนถึงจะเหมาะสม ว่ากันอย่างนั้น ขนาดของศาลพระภูมิก็ไม่เป็นเช่นดังเดิมมา จะให้ไปถืออย่างท่านผู้รู้บอกว่าถ้าศาลใหญ่ก็หัวหน้าศาลเล็กก็ลูกนั้นคงจะไม่มีได้เสียแล้วละทีนี้ แต่ผู้เขียนอยากจะจกตัวอย่างของศาลที่มีขนาดใหญ่ ที่ว่าเป็ฯหัวหน้าศาลทั้งหลายมาบอกไว้ตรงนี้นิดหนึ่งว่า ถ้าหากว่าเราไปตามต่างจังหวัดก็คงจะเห็นความเชื่อประเภทนี้เอาไว้อยู่บ้าง ดูได้จากปากทางเข้าบ้าน(หมู่บ้าน) หรือจะเป็นท้ายหมู่บ้าน แต่ส่วนมากแล้วจะนิยมสร้างศษลพระภูมิประจำหมู่บ้านเอาไว้ทางเข้าหมู่บ้านซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกมากกว่า เมื่อดวงตะวันยามเช้าขึ้นเมื่อใด ก็จะสาดส่องถึงศาลพระภูมิได้ จะมีแทบทุกหมู่บ้านและจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของคนในท้องถิ่นนั้น ๆ ด้วย โดยการแสดงออกในลักษณะความเชื่อถือคือ...

ศาลปู่ตา ก็จะต้องรับรู้เรื่องราวด้วย ลูกหลานจะเดินทางออกนอกหมู่บ้าน ไปไหนมาไหนจะต้องบอกกล่าวให้ท่านรักษา หรือแม้แต่การที่จะมีลูกชายเข้ารับราชการทหาร โดยการจับใบดำใบแดง ผู้เป็นพ่ะแม่กลัวว่าลูกจะติดทหารก็ต้องนำของไปถวาย ขอให้ช่วยลูกชายแคล้วคลาดจากการเป็นทหาร เหล่านี้เป็นต้น